ติดต่อ Email veerapol@blpower.co.th, plecpn@blpower.co.th, thanij@blpower.co.th
ประเทศไทยมีศักยภาพจาก พลังงานแสงอาทิตย์สูง แต่ทำไมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังไม่แพร่หลาย หากดูสถิติการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยแล้ว การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าจากโซล่าบนพื้นดิน หรือ โซล่าฟาร์มมีเพียงประมาณ 2,700 เมกะวัตต์ และจากการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาที่จดแจ้งมีเพียงประมาณ 145 เมกะวัตต์ (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และยิ่งหากเทียบกับศักยภาพทางเทคนิคของพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่มีมากถึง 300 กิกะวัตต์ (จากการศึกษาของ IEA และ CASE) พบว่า ประเทศยังมีศักยภาพอีกมากในการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาหรือระบบโซล่ารูฟท็อป
จุดเด่นของระบบโซล่าเซลล์หรือโซล่ารูฟท็อปที่ทำให้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น คือ ระบบสามารถผลิตไฟฟ้าได้แม้มีพื้นที่ขนาดเล็ก ทำให้สามารถติดตั้งบนหลังคาบ้านหรืออาคารได้ และประโยชน์หลักที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะได้รับจากการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาหรือโซล่ารูฟท็อป คือ ผู้ใช้ประหยัดบิลค่าไฟที่ต้องใช้ในช่วงกลางวัน แต่กระบวนการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาหรือโซล่ารูฟท็อป กลับมีความยุ่งยาก ซึ่งเปรียบได้กับการต่อเติมบ้านอาคาร ไม่ว่าจะเป็นด้านค่าใช้จ่ายที่มักเป็นก้อนใหญ่และต้องมีการจ้างบริษัทรับเหมาติดตั้งโซล่าเซลล์แบบครบวงจร มาประเมินการออกแบบ กำลังผลิต ราคาและการติดตั้ง
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่เป็นข้อจำกัด อาทิเช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยมีการปล่อยเงินกู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาหรือระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาจำนวนไม่น้อย แต่มักเน้นไปที่ภาคธุรกิจ หรือมีเงื่อนไขที่จำกัด เช่น ระยะเวลาการให้กู้สั้นและอัตราดอกเบี้ยที่ไม่น่าดึงดูด และยังรวมถึงการขออนุญาตติดตั้งโซล่ารูฟท็อป (solar rooftop)หรือระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา นั้นยังยุ่งยาก ใช้เวลานาน และต้องยื่นเอกสารมากมายในการออกใบอนุญาต เนื่องจากขอใบอนุญาตจากหน่วยงานราชการหลายแห่ง เช่น ใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (สำหรับการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาขนาดใหญ่) การตรวจสอบทางเทคนิคกับการไฟฟ้า และการขึ้นทะเบียนกับ กกพ. ทำให้ผู้ที่สนใจอาจติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาหรือโซล่ารูฟ แบบไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง หรือเกิดความลังเลตัดสินใจไม่ติดตั้ง เนื่องจากไม่ต้องการรับมือกับกระบวนขออนุญาตที่ซับซ้อนและใช้เวลา ประกอบกับการไม่มีระบบติดตามสถานะการขออนุญาตต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่โปร่งใสได้
ข้อจำกัดด้านโครงสร้างกิจการไฟฟ้า
โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในปัจจุบันที่เป็นแบบ Enhanced Single Buyer ยังไม่สนับสนุนการเกิดขึ้นของรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เช่น Peer-to-peer (P2P) Energy Trading ซึ่งเป็นการซื้อขายไฟฟ้ากันโดยตรงระหว่าง Prosumer หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากระบบโซล่ารูฟ หรือ ระบบติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคา ได้เอง ผ่านโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ตลาดการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาหรือโซล่ารูฟท็อป ขยายตัวขึ้นได้
ประเทศไทยต้องปรับอย่างไร
ในฐานะของผู้กำหนดนโยบาย ภาครัฐควรมีทิศทางการสนับสนุนอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาหรือระบบโซล่ารูฟท็อป ตัวอย่างเช่น นโยบายการรับซื้อคืนไฟฟ้า (Net Billing) ที่การกำหนดราคารับซื้อ ยึดหลักการประเมินคุณค่าของโซล่า (Value of Solar) ที่แท้จริงต่อระบบไฟฟ้า และ มาตรการทางภาษี เพื่อลดต้นทุนทางการเงินในการติดตั้ง มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ตลาดโซลาร์ในประเทศเติบโต
อีกประเด็นที่สำคัญ คือ การเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access (TPA)) ซึ่งจะทำให้มีการซื้อขายกันได้เองระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า โดยมีการเก็บค่าบริการสายส่งไฟฟ้า (Wheeling Charge) ที่สะท้อนต้นทุนจริงของการใช้งานสายส่ง และในอนาคต การทำสัญญาซื้อขายเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อผลิตไฟฟ้า ต้องมีการทบทวนรูปแบบสัญญา ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีการจัดการพลังงานด้านผู้ใช้ (Demand-side management) และระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ระบบไฟฟ้าในอนาคต และรองรับปริมาณการเพิ่มขึ้นของระบบติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคา
การแก้ปัญหาร่วมกันของทุกภาคส่วน จะนำไปสู่การใช้ศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล สร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน